เท้าเบาหวาน (Diabetic Fo๐) หมายถึง สภาวะของเท้ที่กิดจากปลายประสาทเสื่อม เส้นเลือดส่วน
ปลายตีบตันและการติดเชื้อในระดับความรุนแรงที่ต่างๆกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดบาดแผลและนำไปสู่การถูกตัดขา
ได้ (พัฒนพงย์ นาวีเจริญ, 2549;ประมุบ มุทิรางกูร,2548)
ป้วจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลละถูกตัดขา
ปัจจับเสี่ยงหรือผู้ป้วยกลุ่มที่สี่ยงต่อการเกิดแผลและถูกตัดขา ไดแเก่
1. เป็นเบาหวานมานานกว่า 10 ปี
2. รูปร่างเท้าผิดปกติ
3. เคยมีแผลหรือถูกตัดขามาก่อน
4. ภาวะประสาทส่วนปลายเสื่อม
ร. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้
6. เส้นเลือดส่วนปลายตีบ
นอกจากนั้นยังมีปัจัยสี่ยงอื่นๆ เช่น อายุ เพศ น้ำหนัก การมีภาวะแทรกซ้อนทางตา และไตจาก
เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในลือดสูง รูปร่างเท้ผิดปกติและการเพิ่มแรงกคกับของฝ้ท้ รวมทั้ง
การบาดความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลเท้ของผู้ป่วยเป็นตั้น (พัฒนพงย์ นาวีเจริญ,2549;ศิริพร จันทร์ถาย, 2548
; Lehto.S at et ,1996 )
สาเหตุของการเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
แผลที่เท้าในผู้ป่วขเบาหวานเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้คือ 1) ปลาขประสาทเสื่อม (peripheral
neuropathy) 2) หลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน ( peripheral vascular disease) 3) แรงกดทับ (foot stress) และ
4) การติดเชื้อ (infection) (สมพงย สุวรรณวลัขกร, 247; ศิริพร จันทร์ถาย, 248 ;ประมุข มุทิรางกูร,
十
2548)
1. ปลายประสาทเสื่อม เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยที่มาพบแพกข์จากการมีแผล บางครั้ง
เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้ปวยมาพบแพทย์ก่อนการวินิฉัยว่าเป็นเบาหวาน และเมื่อเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมจะ
ส่งผลต่อเท้าดังนี้คือ
1.1 เส้นประสาทรับความรู้สึกเสื่อม (sensory neropath) ทำให้ผู้ป่วยมีอาการชา ไม่รู้สึก
ไม่สามารถรับรู้อันตรายที่เกิดขึ้นจากของแหลมคม ความร้อนเย็น ตลอดจนแรงกดที่ผิดปกติ เช่น ผู้ป่วย
สามารถทนแรงบีบจากรองเท้ที่ไม่หมาะสมได้นานๆ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือเมื่อมีแผลผู้ป้วยจะไม่รู้สึกเจ็บ
และเดินลงน้ำหนักบริวณที่มีแผลรื่อยาก่อให้กิดการบาดจ็บมากขึ้น และอางส่งผลให้ติดเชื้อลุกลามจน
นำไปสู่การตัดขาได้ในที่สุด
12 เส้นประสาทสั่งการเสื่อม (motor neuropathy) ทำให้กล้ำมเนื้อเท้ออนแรงไม่สมดุลและ
ฝอลีบ เกิดกาวะเท้าผิดรูป จุครับน้ำหนักเปลี่ขนแปลงไป หรือมีจุครับน้ำหนักมากผิดปกติในบางจุด (high
foot pressure) ทำให้เกิดแผลในเวลาต่อมา
13 เส้นประสาทอัตโนมัติเสื่อม (autonomic neuropathy) ทำให้การผลิตเหงื่อน้อยลง เกิดภาวะ
ผิวเห้งเตกเป็นร่องและเกิดเป็นแผลได้ง่าย โดยเฉพาะตำแหน่งที่รับน้ำหนัก เช่น ฝ้าเท้า
2. หลอดเลือคส่วนปลาขตีบตัน เป็นสาเหตุสำคัญอันดับสองของการเกิดแผล ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการ
หายของแผลจากการขาดลือด ทำให้อาหารและยาเข้ไม่ถึงแผลและนำไปสู่การตัดขได้โคยมีปัจจัยเสี่ขงคือ
อาขุมาก เป็นเบาหวานมานาน ไขมันในเลือดสูง กรสูบบุหรี่และน้ำตาลในลือคสูง
3. แรงกดทับและกลไกการบาดเจ็บของเท้ ปัจัยนี้เป็นสิ่งสำคัญที่มีการศึกษากันมากจนเป็นที่ยอมรับ
ว่าทีมผู้ดูแลทั้บาหวานจำป็นต้องมีความรู้ทางชีกลศาสคร์ร่วมด้วย พื่อช่วยในการปรับเปลี่ขนรอง และ
ใช้กาขอุปกรณ์เสริมเพื่อลดแรงกดทับ ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามชนิดของแรงและกลไกการบาดเจ็บของเท้าได้ดังนี้
3.1 แรงกระทำที่รุนแรงและเขบพลัน (high pressure penetrating injury) เช่นการเดินเหยียบ
ตะปูหรือของมีคม เป็นต้น
3.2 แรงกระทำปานกลางที่เกิดเป็นระยะๆ (moderate – pressure repetitive injury) แรงหนิดนี้เกิด
จากการเดินในชีวิตประจำวัน โดยมีบางจุดของฝ่าเท้าที่รับน้ำหนักมากกว่าจุคอื่น เช่น บริเวณหัวกระดูก
(metatarsal head) ซึ่งเป็นจุดที่เสี่ขงต่อการเกิดแผลละถ้มีข้อเทติดทำให้แรงกดทับบริเวณนี้เพิ่มขึ้น โอกาส
เกิดแผลยิ่งมากขึ้น นอกจากนี้ถ้มีการตัดนิเท้าไปบางนิ้วทำให้นิ้วที่เหลือต้องรับน้ำหนักมากขึ้นโอกาสุเกิด
แผลที่นิเท้าที่เหลืออยู่ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก
33 แรงกดทับเล็กน้อยที่เกิดต่อเนื่องป็นระะวลานาน (low – pressure continuous) เช่น การใส่
รองเท้าที่กับเกินไปนานหลาชั่วโมง โดยผู้ป่วไม่รู้สึกจ็บปวดทำให้กิดการขาดเลือดไปลี้ขง ซึ่งบริเวณที่พบ
บ่อขคือหลังเทและค้ำนข้งของนิ้วเท้ หรือการมีนิ้วเท้งอผิดรูป(claw toes) จะทำให้เกิดเผลบริเวณปลาขนิ้ว
ที่จิกลงพื้น(tip-top of toes)
4. การติดเชื้อ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี จะทำให้เม็คลือดขาวมีจำนวนลคลงเเละ
ความสามารถในการทำลาขเชื้อแบดทีรียลดลงด้วข ทำให้เกิดแผลติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้หากมี ภาวะเส้น
ลือดสนปลาตีบตันร่วมด้วขจะทำให้ขาปฏิชีวนะต่งๆยังเข้ถึงบริเวณแผลได้ยาก ทำให้เนื้อเชื่อขาคออกซิเจน
และการติดเชื้อแพร่คระายหรือลุกลามเร็วขึ้น(อนุวัฒน์ กีระสุนทรพงย, 2548 )
การตรวจกัดกรองปัญหาสุขภาพเท้าผู้ป่วยเบาหวาน
เนื่องจากกลไกการเกิดแผลที่เทในผู้ป่วยเบาหวานที่ผ่านมาพบว่า ผู้ป้วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าเกิด
ตั้งแต่เมื่อไรและมักจะมาพบแพทย์เมื่ออาการถกลามแล้ว จึงควรมีการตรวกัดกรองปัญหาสุขภาพเท้าของ
ผู้ป้วยเบาหวาน เพื่อดรวงสภาพปัญหาของทจะทำให้ทราบว่าผู้ป่วยมีปัญหาอะไร และทราบว่าผู้ป้วยมีความ
เสี่ยงมากน้อยเพีขงไดเป็นการช่วยให้ผู้ป่ายได้รับการรักษาตามกวามสี่ขง และวางแผนการดูแลที่เหมาะสม
ต่อไปได้ดข ซึ่งแนวทางในการประเมินดังนี้คือ (สมพงย สุรรณวลัขกร, 247 ; ศิริพร จันทร์ฉาข, 2458)
2.การตรวจเท้า ประกอบด้วข
21 การตรวจระบบประสาท (neurological evaluation ) : เพื่อกันหาภาวะปลายประสาทเสื่อม
(peripheral neuropathy) ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ได้ประเมินตั้งแต่เริ่มต้น แต่มักจะตรวาในผู้ป่วยที่มีอาการปวด
ชา หรือมีแผลเกิดขึ้นแล้ว ได้แก่
2.1.1 การตรวจประสาทสั่งการ (motor) เป็นการตรวจหาสิ่งที่ทำให้มีจุดกดทับ หรือกลไกการเดิน
ผิดปกติ หรืออาการอ่อนแรงของกล้ำมเนื้อต่าง ๆ ( weakness and atrophy) เช่น การอ่อนแรงหรือลืบฝอของ
กล้ามเนื้อเท้า (intrinsic foot muscles) เละกล้มเนื้อกระดูกข้อเท้า (ankle dorsilexor)
2.1.2 การตรวจประสาทรับความรู้สึก (sensory) โดยทั่วไปมักหมายถึงการตรวจความรู้สึกเจ็บ
ด้วขของแหลมคม (pinprick sensation) ปัจุบันนิขมตรวจด้วข monoflament ซึ่งเป็นการตรวจ light touch
pressure ที่มีลักษณะ semi quantitative testเนื่องจากใช้ง่าย ราคาถูกและมีความน่าเชื่อถือ (sensitivity 0.84 –
1.00 , specificity 0.77-1.00) (Rith-Najarian & Stolusk, 1992 ) และยังสามารถบอกระดับความรุนแรง และ
การกระจายของบริเวณที่มีปัญหาได้อีกด้วย (Bell – Krotosk, 1991 อ้างตาม กุลภา ศรีสวัสดิ์ และสุทิน
ศรีอับฎาพร, 2548 )
วิธีการตรวจการรับรู้วํความรู้สึกด้วย Semmes -Weinstein Monofilament
Semmes – Weinstien Monofilament เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากใยไนลอน ซึ่งมีหลากหลายขนาด โคยเเต่
ละขนาดจะมีค่าเรงกดมาตรฐานเฉพาะตัว แต่ที่นิยมใช้คือ ขนาด ร.07 (10 gm) ถ้ผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้การ
ตรวจถือว่าสูญเสีขความ รู้สึกในการป้องกันอันตราย (loss of protective sensation ; LOP) โดยมีขั้นตอนการ
ตรวจดังนี้คือ
อธิบาขขั้นตอนและกระบวนการตรวจให้ผู้ป้วยเข้าใจก่อนที่จะทำการทดสอบ โดยใช้ปลาขของ
monofilament กดที่บริเวณแขนของผู้ป้วยเพื่อให้ผู้ป้วยเข้ใจถึงความรู้สึก และเพื่อแสดงให้ผู้ป่วยเห็นว่าไม่ทำ
ให้เกิดความเจ็บปวดขณะตรวา
. จัดท่าโดยการให้ผู้ป่ยนั่งบนก้อี้ที่มีพนักพิงหลัง ยึดขา 2 ข้ง วางบนเก้อี้อีกตัว หรือนอนบนเตียง
ตรวาเละให้ผู้ป่วยหลับตาขณะตรวา
– อธิบายให้ผู้ป้วยเข้ใจว่าขณะใช้ monoflament สัมผัสที่เท้าเพื่อเป็นการทดสอบผู้ป้วย ต้องบอก
พขาบาลผู้ดรวงว่าตำแหน่งที่ mOflลent สัมผัสถือตำแหน่งใดเช่น นิ้ง นิกลาง นิ้ก้อย หรือสั้นเท้
(รูปที่1)
รูปที่1 แสดงตำแหน่งการทคสอบความรู้สึก
– ขณะตรวาะต้องให้ monoflament มาแตะในแนวตั้งถากกับผิวหนังบริเวณที่จะทดสอบ และถ่อยา
กดลงจน monofilament มีการงอตัวเพียงเล็กน้อยในลักษณะเป็นรูปตัว “C” และกดค้างไว้ 1-2 วินาที จึงปล่อย
ออก (รูปที่ 2)
Hold the filament by
the paper handle.
รูปที่2 แสดงลักษณะการตรวจด้วย monofilament
(ภาพจาก http: // www. medicalmonofilament.com )
– ใช้ monofilament ตรวาตามตำแหน่งต่าง ๆ ของเท้าโดยไม่เรียงตามลำดับ เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยคาดเคา
จุดได้ถูกจากนั้นก็ให้ผู้ป่วยบอกว่ารู้สึกว่ามี monofilament มาเเตะหรือไม่
*หากตอบว่ารู้สึก แสดงว่าการทดสอบให้ผลบวก (+)
*หากตอบว่าไม่รู้สึก แสดงว่าการทดสอบให้ผลลบ ()
– ถ้ผู้ปวยไม่สามารถรู้สึกจุดสัมผัสมากกว่หนึ่งจุดก็แสดงว่ผู้ปวยมีปัจัยสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้าใน
อนาคต
– ควรหลีกเลี่ยงการทดสอบในบริเวณที่เป็นแผลหรือผิวหนังหนาๆ
2.1.3 การตรวจระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic) เป็นการตรวจหาลักษณะผิวหนังแห้ง (dry)
แตกเป็นร่อง (fissuring)
2.2 การตรวจระบบหลอดเลือดส่วนปลาย (vascular screening) เป็นการตรวจหาลักษณะการขาดเลือด
เรื้อรัง เช่น ลักษณะผิมันเป็นงา (hiny kin) ไม่มีขน (ai los) เท้าเซ็น (low temperature) การด capillary
refill time (ปกติควรน้อยกว่า ร วินาที่) และการประเมินสภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดบริเวณเท้าโดย
การคลำชีพจรของหลอดเลือด dorsalis pedis ซึ่งอยู่บริเวณค้นบนของฐานกระดูกฝ้าเท้าอันที่2 และชีพจรของ
หลอดเลือด posterior tlbial ซึ่งอยู่บริเวณค้นหลังของตาตุ่มด้นใน(สมชัย ปรีชาสุข, 2541)
23 การตรวจระบบกระดูกละกล้มนื้อ ป็นการตราจที่ะทำให้กิดแรงกดทับที่ผิดปกติ เช่นเท้ผิดรูป
(oot deformiy) กล้ำมเนื้อและเนื้อเยื่อลืบฝอทำให้ปุ่มกระดูกชัด (ony prominence)โครงสร้งเท้าผิดรูปจาก
charcot’s neuroarthropathy ทำให้กระดูกฝ่เห้ยื่นผิดปกติ (collapsed areh) หรือ การทรงตัวผิดปกติ
(abnormal gait ptte) มีข้อจำกัดการเคลื่อนของช้อต่อบริเวณเท้ (imit joint motion) โดขถพาะ first
MTP และ ankle
2.4 การตรวจระบบผิวหนังและเด็บ เป็นการตรวจหาลักษณะผิวแห้ง แตก แผลถลอก ซึ่งอาจเป็นทางเข้า
ของเชื้อโรกบริเวณที่ร้อน แคง หรือแข็งค้นผิดปกติ บ่งบอกว่ามีแรงกดมาก เสี่ยงต่อการเกิดเผล หรือเล็บยาว
เกินไปทำให้เกิดบาดแผลต่อบริเวณช้งเกียง บางราขอาจมีล็บบ หรือเชื้อราบริวณง่ามนิ้วเท้า ซึ่งอาจนำไปสู่
การติดเชื้อลุกลาม
2.5 การประเมินรองเท้าที่เหมะสม เป็นการตรวาดูว่าขนาดและรูปแบบหมาะสมหรือไม่ มีบริเวณที่รับ
น้ำหนักผิดปกติหรือไม่
การจำแนกผู้ป่วยตามระดับความเถี่ยง
การกัดกรองและตรวาสภาพปัญหาเทผู้ป่วยเบาหวานสามารถแบ่งผู้ป้วยได้ 4 กลุ่ม ตามระดับความ
เสี่ยง ดังนี้คือ
ระดับ 0 (low risk): กลุ่มที่มีความรู้สึกสัมผัสเท้ที่ผิดปกติ แต่ไม่มีอาการเห้ชาและไม่มีแผล ไม่มี
การสูญเสียความรู้สึกในการป้องกันกันตราย (no loss of protective) และสามารถรับรู้สัมผัสจากการตรวา
ด้วข monofilament 5.07 (10 gm.)ครบถูกตำแหน่ง ขังมีกวามรู้สึกในการป้องกันอันตราย ไม่เกยมีแผลหรือถูก
ตัดขาก่อน
กลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่ำแต่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปเป็นความเสี่ยงสูงได้ การให้ความรู้เป็นหัวใจสำคัญ
ได้แก่ กวามรู้เกี่ขวกับโรคเบาหวาน การป้องกันโรดแทรกซ้อน การเลิกสูบบุหรี่ การคแลเท้ตามคู่มือการดูเเล
สุขภาพท้าและการตรวจเห้ด้วยตนเอง จึงควรมีการตรวจซ้ำปีละ 1 กรั้ง
ระดับ 1 (moderate risk ) : กลุ่มที่มีความรู้สึกสัมผัสที่เทลดลงมีชาบ้ง และไม่มีแผล แต่สูญเสีย
กวาม รู้สึกในการป้องกันอันตราย (loss of protective sensation) ไม่สามารถรับรู้สัมผัสจากการตรวจด้วย
monofilament 507 (0 gm) ตั้งแต่ 1 ตำแหน่งขึ้นไป แต่ยังไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ
กลุ่มนี้เริ่มมีความเสี่ยงสูง ต้องเพิ่มความรู้ในการดูแลสุขภาพกรวมถึงผิวหนังและเบทกวัน เพื่อเฝ้า
ระวังการบาดเจ็บและให้ความรู้ในการดูแลรักษาเบื้องนที่หมาะสม หมเดินเท้าเปล่า รวมทั้งควรได้รับ
ความรู้และคำแนะนำเกี่ขวกับการเลือกซื้อรองเท้ที่เหมาะสม จึงควรนัดตรวงทุก 3-6 เคือนโดขเน้นตรวง
ประเมินเท้า
ระดับ 2 (high risk):กลุ่มที่สูญสีความรู้สึกสัมผัสที่ท้า มีอาการชา มีการสูญเสีขกวามรู้สึกใน
การป้องกันอันตรายร่วมกับมีจุดรับน้ำหนักผิดปกติไป เช่น เท้ผิครูป การเคลื่อนไหวของข้อลคลง มีตาปลา
และ/หรือการไหลเวียนของลือดผิดปกติ (loss of protective sensation & evidence of high pressure callus
, deformity or poor circulation)
กลุ่มนี้มีความสี่ขงสูงมาก ต้องเพิ่มกวามเคร่งครัดในการดูแลเห้และการบริหารเท้า กวรระมัดระวัง
ไม่ให้เท้าเกิดตาปลาหรือหนังหนาและควรได้รับการขูดหนังหนา ตาปลาโดยเจ้าหน้ำที่ที่ชำนาญหรือปรึกยา
ผู้เชี่ยวชาญทางด้นการตัดรองเท้าเพื่อลือกใช้อุปกรณ์เสริมฝเก้ หรือสวมรองเทสำหรับ ผู้ป่วขเบาหวาน
โดยฉพาะและควรมาพบแพกข์ทันทีที่มีปัญหาที่เท้า จึงกวรนัดตรวจทุก 1-3 เคือน โดขนนตรวจประเมินเท้า
ตัดหนังเข็ง ตาปลา ประเมินกิจกรรมที่ทำและรองเท้า
ระดับ 3 (very high risk ) : กลุ่มที่มีแผลที่เทหรือมีประวัติคยเป็นแผลที่ท้าหรือถูกตัดเท้ามา
ก่อน (history of plantar ulceration or ,charcot foot)
กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อการเกิดแผลซ้ำหรือถูกตัดขา ต้องเคร่งครัดในการดูแลเท้าและสวม
รองเท้าที่เหมาะสมตลอดวลา จึงควรนัดตรวจทุก 1-2 สัปดาห์ โดยน้นเหมือนระดับ 2 แต่เข้มงวดกว่า
บทบาทพยาบาลในการป้องกันการเกิดแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
การให้คำแนะนำหรือให้ความรู้ในการดูแลตนเองเป็นบทบาทสำคัญของพยาบาลในการป้องกันการเกิด
เผลที่เท้าในผู้ป้วขเบาหวาน ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วขเบาหวานส่วนใหญ่จะได้รับความรู้จากการอ่านหนังสือหรือ
กั้นคว้จากตำราน้อยมากแต่าะได้ความรู้จากการได้รับกำแนะนำจากเพทย์บง พยาบาลบ้ง ขณะเดียวกัน
แพทย์ก็จะมีเวลาในการพูดกุหรือให้กวามรู้กับผู้ป่วยน้อมาก เนื่องจากพทย์มีการะงานที่มาก ทำให้ไม่มีเวลา
พยาบาลจึงเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการให้กวามรู้ผู้ป่วยเนื่องจากพยาบาลเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยมากที่สุด
และเป็นบุดกลที่ได้รับรู้ปัญหาของผู้ป้วยมากกว่าบุคลากรในสาขาอื่น
ข้อเเนะนำในการดูแลฮุขภาพเท้าผู้ป่วยเบาหวาน
1.ทำความสะอาดเท้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อนๆ วันละ 2 กรั้ง และทำกวามสะอาดทันทีทุก
ครั้งที่เท้าเปื้อนสิ่งสกปรกแล้วเช็ดเท้าให้แห้งด้วยผ้สะอาดและนุ่มโดขฉพาะบริวณซอกนิเท้า
2. ควรตรวจเห้และบริเวณซอกนิ้วเอข่างละเอีขดทุกวันเพื่อกั้นหาความผิดปกติ เช่น หนังด้านเเข็ง
ตุ่มพุพอง ตาปลา รอยแตก หรือการติดเชื้อราหรือไม่
3.หากมีปัญหารื่องสายตาควรให้ญติหรือผู้ใกล้ชิดสำรวจเห้และรองท้ให้ทุกวัน หากอ้วนมากจนไม่
สามารถก้มได้ควรใช้กระจกช่วยส่องในการสำรวจเท้า
4. หากผิวแห้งควรใช้กรีมที่มีส่วนผสมของ laolin ทาบาง ๆ แต่ไม่ควรทาบริเวณซอกนิ้วเท้เนื่องจาก
อาจทำให้ซอกนิ้วอับชื้น เกิดเชื้อรา และผิวหนังเปื่อยเป็นแผลได้ง่าย ถ้ผิวหนังขึ้นมีเหงื่อออกง่าย ควรเช็ดเท้
ให้แห้งจะช่วยลุดูการอับชื้นได้
ร. หมเช่ในน้ำร้อนหรืออุปกรณ์ให้ความร้อน / ประคบกระเป้าน้ำร้อนโดยไม่ได้ทำการทดสอบก่อน
6. หากจำเป็นต้องแช่เท้าในน้ำร้อน หรือใช้อุปกรณ์ให้กวามร้อนวางที่เท้าจะต้องทำการทดสอบก่อน
โดยให้ผู้ป้วยใช้ข้อศอกทดสอบระดับความร้อนของน้ำ และอุปกรณ์ให้ความร้อนก่อนทุกครั้ง ผู้ป้วยที่มี
ภาวะแทรกซ้อนที่เส้นประสาทส่วนปลายมากจนไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกร้อนได้ กวรให้ญาติผู้ใกล้ชิดเป็น
ผู้ทำการทดสอบอุณหภูมิเเทน
7.หากมีอาการเท้าเย็นในเวลากลางคืนให้แก้ไขโดยการสวมถุงเท้า
8.การตัดเล็บ ควรตัดหลังทำความสะอาดเทหรือหลังอาบน้ำเนื่องจากเล็บจะนิ่ม ตัดง่าย และควรตัดตาม
แนวของล็บ โดยให้ปลายล็บเสมอกับปลายนิหรือห่างจากขอบล็บประมาณ 2 มิลลิมตร
เล็บหรือตัดอย่างเช่นทีร้นทำเล็บเพราะจะทำให้ล็บม้วน เล็บขบ และเมื่อเล็บงอกมาใหม่จะแทงเข้าไปในเนื้อ
ทำให้อักเสบเป็นหนองได้
9.หามตัดตาปลา หรือผิวหนังเข็งด้วยตนเอง รามทั้งมใช้สารเคมีใคๆ ลอกตาปลาด้วขตนเอง เพราะ
อาจทำให้แผลลุกลามได้เนื่องจากขาดความรู้สึก
10.หมเดินเท้าเปล่า โดยเฉพาะบนพื้นผิวที่ร้อน เช่น หาดทราย พื้นซิเมนต์
11.ควรจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น เมื่อมีการเคลื่อนย้ำขสิ่งของต้องเก็บกวาดบริเวณพื้นบ้านให้
เรียบร้อย รามทั้งควรเปิดไฟทางเดินให้สว่างในเวลากลางคืน
12.หากมีบาดแผลเกิดขึ้นที่ก้เพียงล็กน้อคารให้ความสนใจเพราะแผลส่วนใหญ่เริ่มจากการได้รับ
อุบัติเหตุล็กๆน้อขๆ และถูกละเลขจนกลาขเป็นเผลลุกลาม ควรลงทำความสะอาดแผลด้วยน้ำตั้มสุกที่เข็นเเล้ว
หรือลงด้วยน้ำเกลือล้ำงแผลแล้วตามด้วยยา โพวิดีนหรือเบต้ดีนและหากแผลไม่ดีขึ้นภายในเวลา3 วัน ควร
ปรึกษาแพทย์
13.ควบคุมระดับน้ำตาลในลือดให้อยู่เกณฑ์ปกติ หรือใกล้คียงปกติมากที่สุด
14.งดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นปัจัยสี่ยงที่สำคัญของการเกิดเส้นลือคคีบตันและจะเร่งให้เส้น
เลือดเล็กๆ ที่เทตีบตันเร็วขึ้น
15. พบเพทย์ตามนัด
16.หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้งหรือนั่งพับเพียบเป็นเวลานานเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
17.การบริหารห้ป็นประจำทุกวันอข่างสสมอจะช่ยให้การไหลเวียนของหลอดลือดที่เทคีขึ้น
ข้อแนะนำในการเลือกรองเท้าผู้ป่วยเบาหวาน
รองเท้าที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการ ถูกตัดขาจากเท้าเบาหวานแต่หากเลือกรองเท้าที่ไม่
เหมาะสมจะเป็นส่วนประกอบสำคัญอข่างหนึ่งในการที่ทำให้เกิดแผล ลักษณะรองเท้าที่เหมาะสมในผู้ป่วย
เบาหวานคือสวมใส่สบาย น้ำหนักเบา อากาศถ่ายเทสะดวก ภายในนิ่มไม่มีรอยกคเจ็บต่อฝ่าเท้า ดังนั้นผู้ป่วย
ควรได้รับ คำแนะนำในการลือกรองเท้ที่มีรูปแบบและขนาดที่หมาะสมด้วขตนเองได้โดยมีหลักการทั่วไป
ดังนี้ คือ
1. รูปแบบของรองเท้า
– ไมกวรเลือกรองเทหน้ำแคบ เพราะจะบีบรัดเก้มากไป
วัสดุที่ใช้ในการรองเท้ ควรเป็นหนังหรือผ้ที่มีความยึดหยุ่นภายในบุดยวัสดุที่นุ่น ดูดซับและ
ระบายความชื้นได้ดี
ควรเป็นรองเท้าแบบหุ้มส้น หรือสาขรัดส้นกันเท้าเลื่อนหลุด หรือเป็นรองเท้าชนิดผูกเชือกหรือเเถบ
velco stap ที่ไม่มีรอตะเข็บบริเวณหลังเท้า เพื่อให้สามารถปรับขขายได้
หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้ที่ทำด้วยยางหรือพลาสติก เนื่องจากทำให้มีโอกาสเกิดการเสียดสี เป็นแผล
ได้ง่าย
– หลีกเลี่ยงการสวมรองเห้แตะประเกทที่ใช้นิเท้คีบสายรองเท้
– พื้นด้นในที่สัมผัสท้ควรมีความนิ่มยึดหขุนและหนาพอ รวมทั้งข้ากับรูปฝาเท้ สามารถประคองเท้า
ได้ทุกส่วน
– พื้นค้นนอก ควรมีความแข็งแรงเพียงพอ ไม่หักงอหรือเสีขรูปทรงง่าย
– สน ควรทำจากขางเพื่อไม่ให้ลื่นไถลขณะเดิน และควรเป็นส้นเตี้ยเพื่อลดแรงกระทำต่อเก้ส่วนหน้
โคขเฉพาะ metatarsal hard และไม่ควรเป็นชนิดที่สั้นแคบหรือส้นหมุด เพราะจะทำให้เกิดความไม่มั่นคงข้อ
เทอาาพลิกได้ง่าย
2. ขนาดของรองเท้า
สิ่งสำคัญที่ควรทราบ คือขนาดของรองเท้นั้นไม่มีมาตรฐาน จะมีความแตกต่างกันไปตามยี่ห้อและเเบบ
ของรองเท้า ไมควรดติดกับขนาค(บอร์) ของรองเท้ และเท้จะมีขนาคใหญ่ขึ้นเมื่ออายุมากหรือมีการ
เปลี่ขนเเปลงของกระดูก และเนื้อเชื่อต่งๆ ในเทดังนั้นควรจัดขนาดใหม่ทุกครั้ง
– วัดขนาดของเท้ทั้งสองข้งทั้งความขาว และความกว้ง เนื่องจากส่วนใหญ่ล้วขนาดของเท้าแต่ละข้าง
มักไม่เท่ากัน
– ตรวจความพอดีของรองเท้ โดยขณะเลือกต้องยืนลงน้ำหนัก เพราะขนาดของเท้จะเปลี่ยนไปเมื่อลง
น้ำหนัก และต้องลองทั้ง 2 ช้ง เนื่องจากก้ทั้ง2 ข้งอาจไม่ท่กัน จึงควรลองยืนสวมและเดินหลาข ๆ รอบ
เพื่อดูรอขกดทับปกติ
– กวามขาวจากสั้นรองเก้ถึงบริเวณที่กว้งที่สุดของรองเท้ (heel–bll-ft) สัมพันธ์กับเทหรือขาวกว่า
นิ้วที่ขาวที่สุดประมาณครึ่งนิ้
– กวามกว้งของรองเท้า (ball width) ต้องพอดีกับส่วนที่กว้งที่สุดของเท้า (วัดจาก metatarsal head ที่ 1
ถึง 5)
-คนหลังรองเท้ากระชับสั้นเท้าถ้กับจะเกิดแผลกดทับ แต่ถ้าหลวมจะเกิดแผลจากการเสียดสีได้
3. ส่วนประกอบอื่นๆ
10
– การสำรวจรองห้ทั้งภายในและภายนอกก่อนสวมทุกครั้ง
– สวมถุงเท้าก่อนสวมรองเท้าเสมอ โดยฉพาะอย่างยิ่งรองเท้าในการออกกำลังกาย
– เลือกถุงเท้าที่ไม่มีตะเข็บ (หากมีตะเข็บให้กลับค้นในออก ) และถุงเท้าควรทำจากผ้ฝ้าย ซึ่งมีความอ่อน
นุ่ม และสามารถซับหงื่อได้ดี ซึ่งจะช่ยลดความอับขึ้นได้และไม่รัดแน่นเกินไป นอกจากนี้ควรเปลี่ขนถุงเท้า
ทุกวันเพื่อไม่ให้มีการหมักหมมเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรด
– ควรเลือกซื้อรองเทในช่างตอนบ่ายหรือตอนเข็นเพราะเท้จะโตขึ้นเล็กน้อย หากซื้อในช่วงเช้ำและเลือก
ขนาดพอดีจะทำให้รองเท้าดังกล่าวกับและเกิดแรงกดในช่วงบ่าย
– หากสวมรองเทใหม่ควรสวมไม่กิน 2 ชั่โมง แล้วเปลี่ยนเป็นคู่เก่าสลับกันภายใน 2 สัปดาห์แรก เพื่อ
ป้องกันรองเท้ากัด
สรุป
ปัญหาสุขภาพเท้าในผู้ป่วยเบาหวานมีหลายลักณะตั้งเต่อาการชา ผิวหนังแห้งแตกหรือมีหนังหนาๆ
เป็นแผลเล็กๆจนกระทั่งเป็นแผลใหญ่และมีการติดเชื้อ แผลที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักหายช้ำและอาจลุกลามมากขึ้น
จนถูกตัดขาในที่สุด การป้องกันการเกิดแผลที่ท้าในผู้ป่วขเบาหวานเป็นวิธีที่สามารถทำได้และเห็นผลชัดเจน
โดยผู้ป่วยมีส่วนสำคัญในการดูแลตนเอง คือการควบคุมระดับน้ำตาลในลือดให้ใกล้คียระดับปกติมากที่สุด
ตรวาดูเท้าทุกวันเลือกซื้อรองเท้ที่เหมาะสมและรีบปรึกษาเพทย์เมื่อเริ่มเกิดแผล ซึ่งจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน
ลดค่าใช้ของผู้ป่วยเบาหวานได้มากขึ้น
ในอนาคตปัญหาเทผู้ป่วขเบาหวาน มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ดูแลกวรให้ความสำคัญกับ
การประเมินปัญหา ฝ้าระรังในกลุ่มเสี่ยงต่างๆ และพัฒนาระบบการให้ความรู้หรือพัฒนาศักยภาพในการ
ดูแลตนเองแก่ผู้ปวขเบาหวานเพื่อษะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือลดปัจัยสี่ขงของการเกิดโรคแทรกซ้อน
ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะต้องอาศัขความร่ามมือจากทีมสหสาขาวิชาชีพ โดขถพาะอข่างยิ่งพขาบาลน่าจะเป็น
บุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการให้คำแนะนำหรือให้กวามรู้กับผู้ป้วข เพราะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป้วยและให้การ
ดูแลอย่างต่อเนื่องมากที่สุดรวมทั้งได้รับรู้ปัญหาของผู้ป้วยมากกว่าบุกลากรในสาขาอื่นๆ จึงน่าจะสามารถ
พูดกุยให้ ผู้ป่วขเข้าใจได้ง่ยเพื่อช่วยให้ผู้ปวยสามารถดูแลตนเองได้ถูกต้องเหมาะสมรวมทั้งคำเนินชีวิตได้
อย่างมีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต
กิตติกรรมประกาศ
ขอกราบขอบพระคุณ คุณสุดา คงทอง พยาบาลวิชาชีพ 8 หัวหน้งานอายุรกรรม โรงพยาบาล
มหาราชนครศรีธรรมราช ที่กรุณาให้กำปรึกษาและแนะนำให้บทความฉบับนี้สมบรูณ์มากยิ่งขึ้น[:]
สอบถามรายละเอียดโปรโมชั่น
แอดLine@ ของ Talon ได้ที่นี่เลยค่ะ
👉 https://line.me/R/ti/p/%40ool5177g
foot clinic เปิดบริการ จันทร์-เสาร์ 8.30-17.30 น. Tel 02-896-3800