นักกายภาพบำบัด คือ “บุคลากรทางการแพทย์” ที่ช่วยตรวจประเมินร่างกาย วินิจฉัยระบบกระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ วางแผนการรักษา พร้อมดำเนินการรักษา รวมถึงส่งเสริม รักษา ป้องกัน อาการบาดเจ็บหรือผิดปกติของร่างกาย รวมถึงฟื้นฟูผู้ป่วยให้สามารถกลับมาทำงาน หรือรับผิดชอบหน้าที่ในชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงเหมือนปกติให้ได้มากที่สุด
นักกายภาพบำบัด “ช่วยดูแลปัญหาสุขภาพเท้า”
ในปัจจุบันผู้ที่มีปัญหาการเดิน ปัญหาเท้าผิดรูป เพิ่มจำนวนมากขึ้นจากหลายสาเหตุ ได้แก่
– มีความผิดปกติเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อตั้งแต่เกิด
– ได้รับบาดเจ็บ
– ภาวะแทรกซ้อนจากการเจ็บป่วย เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคสมอง
– ได้รับผลกระทบจากการผ่าตัด
– ร่างกายเสื่อมสภาพตามวัย
– มีพฤติกรรมทำร้ายสุขภาพเท้า เช่น เลือกใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม อุปนิสัยการเดิน-ยืน-นั่งที่ไม่ถูกต้อง
– ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพเท้า เช่น อาชีพที่ต้องยืนหรือเดินติดต่อกันเป็นเวลานาน
เมื่อมีปัญหาสุขภาพเท้า การไปพบแพทย์เป็นทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนของการดูแลหรือฟื้นฟูสุขภาพเท้า กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น บริเวณหลัง ขา เข่า น่อง เท้า ฯลฯ ตลอดจนการปรับการเดิน การยืน การเคลื่อนไหวร่างกายให้เป็นปกติ เป็นหน้าที่ของนักกายภาพบำบัด
การทำกายภาพบำบัดจะช่วยลดความเจ็บปวด และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติหรือเกือบปกติ เพราะการทำกายภาพบำบัดจะช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างร่างกาย ได้แก่ กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ปลายประสาท ในบริเวณที่เกิดการบาดเจ็บหรือมีปัญหา และพัฒนาการเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมทั้งช่วยให้รู้จักวิธีป้องกันการได้รับบาดเจ็บและวิธีการดูแลสุขภาพเท้าต่อไป
คำแนะนำการดูแลสุขภาพเท้าจากนักกายภาพบำบัด
จากผลวิจัยพบว่าชั่วชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งจะใช้เท้าเดินเป็นระยะทาง เฉลี่ยถึง 120,000 – 160,000 กิโลเมตร ซึ่งยาวมากกว่า 3 ถึง 4 เท่าของระยะทางรอบโลก ดังนั้นเท้าของเราจึงควรที่จะได้รับการดูแลและปรนนิบัติให้ดีที่สุดเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างปกติไปตลอดชีวิต ซึ่งนักกายภาพบำบัดได้แนะนำวิธีดูแลสุขภาพเท้าไว้ดังนี้
- ทุกวันที่อาบน้ำ อย่าละเลยการทำความสะอาดเท้า หลายคนอาบน้ำพิถีพิถันกับการทำความสะอาดลำตัว ใบหน้า แขนขา แต่ส่วนเท้ากลับล้างแบบลวกๆ อาจเพราะล้างไม่ถนัด ต้องก้ม กลัวลื่นล้ม นักกายภาพบำบัดแนะนำให้หาเก้าอี้ หรือ ที่รองนั่งก่อนล้างทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ หรือสบู่เหลวของเด็ก ล้างตามซอกนิ้วและฝ่าเท้า อาจใช้ใยสำหรับทำความสะอาดถูเบาๆ ก็ได้ แต่ห้ามขัดแรงเด็ดขาดเพราะอาจทำให้เป็นแผล ซึ่งง่ายต่อการติดเชื้อหรืออักเสบ
- หลังอาบน้ำ ใช้ผ้านุ่ม ๆ ซับน้ำ เช็ดทำความสะอาดให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกระหว่างนิ้วเท้า และฝ่าเท้า เพื่อป้องกันการอับชื้นอันเป็นสาเหตุของเชื้อรา และกลิ่นเท้า
- ถ้าผิวแห้งตึง ให้ทาครีมบำรุงบาง ๆ เลือกที่เนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว และไม่เหนียวเหนอะหนะ การทาครีมควรหลีกเลี่ยงบริเวณซอกนิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหมักหมมซึ่งอาจทำให้มีกลิ่นเท้า หรือเป็นเชื้อราได้
- หมั่นตัดเล็บเท้าอย่างถูกวิธี คือ ตัดหลังจากอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ และให้ตัดไปตามแนวเล็บเท่านั้น ไม่ควรเซาะด้านข้างเล็บเพราะจะทำให้เป็นแผลอักเสบ ง่ายต่อการติดเชื้อได้
- สำหรับคนที่เป็นเล็บขบ ต้องตัดเป็นแนวตรงเท่านั้น ห้ามตัดตามแนวเล็บหรือเซาะข้างเล็บเพราะอาจจะทำให้มีอาการเล็บขบเรื้อรังได้
- ในตอนกลางคืน หากอากาศเย็นควรสวมถุงเท้านอน
- ก่อนสวมถุงเท้า รองเท้า ต้องมั่นใจว่าเท้าแห้งสนิท
- ควรเลือกถุงเท้าที่เป็นผ้าใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย เพื่อให้ระบายอากาศ ระบายความร้อนได้ดี ช่วยซับและระเหยน้ำได้เร็ว ไม่ให้เท้าอับชื้น หมักหมม และควรเปลี่ยนถุงเท้าทุกวันเพื่อสุขอนามัยที่ดี ไม่ควรสวมถุงเท้าซ้ำ บางคนใช้วิธีผึ่งลมหรือตากแดดก่อนนำมาใส่เพราะรู้สึกว่าแห้งแล้ว ใส่ได้ แต่ในความเป็นจริงคือส่วนที่เป็นน้ำระเหยไปหมดก็จริง แต่คราบความสกปรก เชื้อโรค และเกลือจากเหงื่อ ยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหน หากนำมาใส่ซ้ำ ก็จะทำให้เท้าของเราติดเชื้อได้
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า แม้เดินในบ้านก็ควรใส่รองเท้าสำหรับเดินในบ้าน เพื่อปกป้องเท้าและป้องกันการบาดเจ็บบริเวณเท้า
- หมั่นสังเกตเท้า ถ้ามีอาการบวมแข็ง หรือคันบริเวณฝ่าเท้า นิ้วเท้า ฝ่าเท้า นั่นคืออาการเริ่มแรกของเชื้อราบนผิวหนัง ควรรีบไปปรึกษาแพทย์
- ออกกำลังเพื่อบริหารข้อเท้าและกล้ามเนื้อเท้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาสู่ปลายเท้า
- เลือกสวมใส่รองเท้าให้เหมาะสมกับรูปเท้าและกิจกรรม
- สำหรับผู้ที่มีปัญหาการเดิน ปัญหาเท้าผิดรูป ปัญหาสุขภาพเท้า หรือกลุ่มผู้มีความเสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพเท้า เช่น อาชีพที่ต้องยืนหรือเดินติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรเลือกใส่เป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพเท้า
นักกายภาพบำบัดเฉลย เลือกรองเท้าผิด ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไร?
- มีกลิ่นเท้า เท้าเหม็น เกิดจากรองเท้าและถุงเท้าที่สวมใส่ระบายอากาศได้ไม่ดี เมื่อเปียกเหงื่อแล้วจะแห้งช้า อับ และเกิดกลิ่นเหม็น รองเท้าที่อับ ไม่ระบายอากาศ อย่างรองเท้าหนัง รองเท้าผ้าใบ รองเท้าพีวีซี เปรียบเสมือนซาวน่าดีๆ นี่เอง ที่นอกจากจะเร่งเหงื่อให้ออกเยอะแล้ว ยังดูดและเก็บเหงื่อได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ในเหงื่อของเรามีแบคทีเรียอยู่ รองเท้าที่ไม่ระบายอากาศจึงเป็นแหล่งรวบรวมและกักเก็บแบคทีเรียจำนวนมหาศาล นอกจากจะเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์แล้ว ในบางรายที่มีแผลรองเท้ากัดแล้วมาเจอแหล่งสะสมของแบคทีเรียแบบนี้ ทำให้เท้าของเราเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายกลายเป็นปัญหาสุขภาพเท้าเรื้อรังได้เลย
- เชื้อราที่เล็บ เกิดจากการสวมใส่รองเท้าที่ไม่ระบายอากาศ ไม่ระบายความร้อน ทำให้เกิดความชื้นสะสม การหมักหมมของเหงื่อทำให้เกิดเชื้อรา ซึ่งเชื้อราจะเข้าไปทางรอยแผลเล็กๆ ที่เราอาจไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือในตำแหน่งที่มีการฉีกขาดของเล็บกับผิวหนังใต้เล็บ มีลักษณะเริ่มต้นด้วยมีจุดสีขาว หรือสีเหลืองที่เล็บ หรือใต้จุดปลายของเล็บ และเมื่อมีการติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เล็บมีสีเปลี่ยนไป หนาขึ้น และมีขอบด้านๆ รวมไปถึงจะมีอาการเจ็บที่เล็บด้วย เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก และต้องใช้การรักษาเป็นระยะเวลานานกว่าที่เล็บจะกลับมาเป็นปกติ
- แผลรองเท้ากัด พุพอง เป็นหนอง เกิดจากการใส่รองเท้าไม่พอดีกับรูปเท้า ทำให้เกิดการเสียดสีขณะเคลื่อนไหว นอกจากนี้ การเลือกรองเท้าที่ตัดเย็บจากวัสดุที่ไม่เหมาะสม ไม่มีคุณภาพ เช่น แข็ง ไม่ยืดหยุ่น ก็ทำให้เกิดแผลรองเท้ากัดได้เช่นกัน ทำให้บริเวณที่ถูกเสียดสีมีอาการบวมแดง หากเป็นมาก แผลจะมีลักษณะเป็นตุ่มพอง ผิวหนังชั้นนอกพองตัวแยกชั้นออกมาจากผิวหนังชั้นใน มีน้ำเหลืองอยู่ภายใน หรือบางทีอาจมีเลือดปนอยู่เพราะเส้นเลือดฝอยแตก ตุ่มน้ำนี้หากแตกจะทำให้ผิวหนังชั้นในสัมผัสกับสิ่งสกปรก เชื้อโรคภายนอก ทำให้แผลติดเชื้อและอักเสบ
- นิ้วหัวแม่เท้าเอียง นิ้วปีน กระดูกโปน เป็นปัญหาสุขภาพเท้าอันดับหนึ่งของผู้หญิงที่ใส่รองเท้าส้นสูง อาการคือมีกระดูกโปนบริเวณข้อต่อตรงโคนนิ้วหัวแม่เท้า เนื่องจากนิ้วหัวแม่เท้าเอนเข้าไปชิดกับนิ้วชี้ ทำให้กระดูกข้อต่อหัวแม่เท้าโตขึ้นและปูดออกมา ทำให้เกิดอาการบวม แดง อักเสบ และอาจลุกลามเป็นปัญหาสุขภาพเท้าเรื้อรัง เช่น ถุงน้ำที่เป็นตัวรองรับการเสียดสีบริเวณกระดูก เอ็น และกล้ามเนื้อใกล้ข้อต่อ อักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง หรือ นิ้วเท้าหงิกงอผิดรูป นิ้วหัวแม่เท้าปีนขึ้นมาซ้อนบนนิ้วชี้ นิ้วเท้าขยับไม่ได้ ทำให้เดินลำบาก ใช้ชีวิตลำบากขึ้น
- เอ็นใต้ฝ่าเท้าอักเสบ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “โรครองช้ำ” เกิดจากการสวมใส่รองเท้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถรับแรงกระแทก และกระจายน้ำหนักได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้สวมใส่มีอาการเจ็บที่ส้นเท้า อุ้งเท้า ลามไปจนทั่วฝ่าเท้า อาการของโรครองช้ำ จะเป็นแบบปวดจี๊ดขึ้นมาเลยทันทีแล้วปวดตุบ ๆ ไปเรื่อย ๆ และค่อย ๆ หายไปเองจนคิดว่าน่าจะหายปวดแล้ว แล้วอาการเจ็บจี๊ดก็กลับมาอีก เป็นอีกแบบนี้วนลูปไปเรื่อย ๆ อาการเจ็บปวดจะพีคที่สุดคือจังหวะแรกที่เราทิ้งน้ำหนักลงส้นเท้าในก้าวแรกหลังการตื่นนอนหรือหลังจากนั่งพักเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตลำบากมาก
หลักการเลือกรองเท้าอย่างถูกวิธีที่นักกายภาพบำบัดแนะนำ
- เลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับรูปเท้า ไม่หลวม ไม่คับแน่นเกินไป ต้องมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้สวมสบาย และให้นิ้วเท้าเคลื่อนไหวได้โดยอิสระ ไม่ถูกบีบรัดจนเกินไปซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหากระดูกโปนนิ้วเท้าปีน ขณะเดียวกันก็ต้องไม่หลวมเกินไปเพราะอาจเกิดการเสียดสีจนเป็นแผลหรือตาปลา ที่สำคัญอาจเกิดอุบัติเหตุเท้าพลิก สะดุด หกล้ม เป็นอันตรายขณะเคลื่อนไหว
- สำหรับผู้ที่มีปัญหาเท้าผิดปกติ ต้องพิจารณาตัดรองเท้าที่เหมาะกับรูปเท้า ต้องการดูรองเท้าสั่งตัดแก้ปัญหาสุขภาพเท้าคลิก
- เลือกรองเท้าที่พื้นมีความสามารถในการรองรับแรงกระแทกที่ดีเป็นพิเศษ พื้นรองเท้าหนา มีความนุ่มและยืดหยุ่น ใส่แล้วไม่ยวบหรือทรุดตัว และควรมี Insole เพื่อช่วยทำให้ลดการกระแทก กด เอ็นฝ่าเท้าเวลาเดิน ปรับการลงน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
- เลือกรองเท้าที่มี Arch of Foot ที่ทำหน้าที่รองรับและกระจายน้ำหนักบริเวณฝ่าเท้าได้ดีเป็นพิเศษ ช่วยประคองรูปเท้าให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องขณะเคลื่อนไหวหรือก้าวเดิน เพื่อช่วยรับน้ำหนัก และกระจายน้ำหนัก ช่วยลดอาการปวด และป้องกันการบาดเจ็บ ปกติคนเราขณะยืน เดิน น้ำหนักจะมารวมศูนย์อยู่บริเวณฝ่าเท้าด้านหน้าและส้นเท้า ถ้ายืนเดินนานๆ จะเกิดอาการปวดที่เรียกว่าปวดรองช้ำ รองเท้าสุขภาพที่ดีจะมี Arch of Foot ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดฝ่าเท้าด้านหน้าปวดส้นเท้า บรรเทาอาการรองช้ำได้ดีมาก อีกทั้งยังช่วยค้ำอุ้งเท้าป้องกันไม่ให้เท้าบิดเข้าด้านใน อันเป็นภาวะที่จะทำให้แนวกระดูกสันหลังบิดเบี้ยว และนำมาซึ่งอาการปวดข้อต่าง ๆ เช่น ปวดข้อเข่า และ ปวดหลังส่วนเอว
- เลือกรองเท้าที่ผลิตจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ความยืดหยุ่นสูง ระบายอากาศได้ดี อาทิ ไมโครไฟเบอร์ เป็นต้น เพราะมีคุณสมบัติเด่นเรื่องความยืดหยุ่น ความสามารถในการกระจายน้ำหนักและอุณหภูมิ มีน้ำหนักเบากว่าหนังแท้ถึง 30-50% เมื่อนำมาเป็นวัสดุผลิตรองเท้า จึงได้รองเท้าที่เบา สวมใส่สบาย มีความคล่องตัวสูง ทั่วโลกนิยมนำมาตัดเย็บเป็นรองเท้าเพื่อสุขภาพเพราะเท้าจะได้ไม่ต้องรับภาระหนักมากนัก ทำให้ผู้สวมใส่รองเท้าจากไมโครไฟเบอร์รู้สึกสบาย สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นอิสระ เลือกดูแบบรองเท้าไมโครไฟเบอร์นำเข้าคลิก